หลายๆคนคงอยากมีบ้านหรือคอนโดของตัวเองใช่มั้ย โดยเฉพาะกับคนที่เช่าอยู่มาโดยตลอด หรืออยู่บ้านร่วมกับพ่อแม่พี่น้อง เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่ครอบครัวมีการขยับขยาย ลูกแต่งงาน หรือมีลูกหลานเพิ่มขึ้น ทุกคนก็มักมองหาบ้านของตัวเอง แค่ราคาบ้านและคอนโดสมัยนี้ก็ใช่ว่าจะซื้อใหม่กันได้ง่ายๆ การกู้ซื้อบ้านผ่านธนาคารจึงเป็นตัวเลือกที่หลายคนเลือกใช้กัน

แต่ช่วงนี้หลายคนคงทราบกันมาแล้วว่า การกู้ซื้อบ้านหรือคอนโดทำได้ยากขึ้น หรือเรียกง่ายๆว่า ‘กู้ไม่ผ่าน’ เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี ภาระหนี้ครัวเรือนในประเทศไทยสูงขึ้น หลายธนาคารจึงรัดเข็มขัด เข้มงวดในการปล่อยกู้มากกว่าแต่ก่อน การกู้ร่วมจึงเป็นหนทางหนึ่งที่ทำให้การกู้เงินซื้อบ้านหรือคอนโดผ่านง่ายมากขึ้น เพราะการนำรายได้ของผู้กู้ร่วมทุกคนมาพิจารณาร่วมกัน สร้างความมั่นใจให้แก่ธนาคาร

การกู้ร่วมไม่ได้มีดีแค่ทำให้มีสิทธิ์กู้ผ่านไวขึ้นนะ แต่ยังข้อดีอีกหลายอย่าง ดังนี้

1. ผู้กู้ไม่ต้องแบกภาระหนักจนเกินไป

โดยปกติแล้วธนาคารจะนำรายได้ของผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมมาคิด ธนาคารส่วนใหญ่จะให้มีภาระในการผ่อนไม่เกิน 40-50% ของรายได้ ทั้งนี้แล้วแต่ธนาคารพิจารณา หากผู้กู้หลักมีภาระอื่นๆที่ยังต้องรับผิดชอบอยู่ การกู้ร่วมจะทำให้ค่าผ่อนต่อเดือนของแต่ละคนลดลงมา การเงินไม่ตึงมือจนเกินไป ทำให้ทั้งผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมไม่ต้องแบกภาระที่หนักมากนัก ยังสามารถใช้จ่ายในส่วนอื่นในชีวิตประจำวันได้โดยที่การเงินยังค่อนข้างคล่องตัว

ตัวอย่างที่ 1 : นายโจศักดิ์มีรายได้ 30,000 บาท มีความสามารถในการผ่อน 15,000 บาท ต้องการซื้อบ้าน 2 ล้านบาท ในความเป็นจริงนายโจศักดิ์สามารถกู้คนเดียวได้ (คิดจาก ยอดผ่อน  ÷ ยอดที่ต้องผ่อนต่อจำนวนเงินกู้ 1,000,000 บาท ตกประมาณ 7,000 บาท x 1,000,000) แต่อาจทำให้การใช้ชีวิตประจำวันต้องประหยัดกว่าเดิมมาก แต่ถ้ามีนางสาวขวัญใจรายได้ 20,000 บาท มีความสามารถในการผ่อนสูงสุด 10,000 บาท หากคิดว่าผ่อนคนละครึ่ง ก็ทำให้ทั้งโจศักดิ์และขวัญใจต้องผ่อนต่อเดือนเพียง 7,500 บาทเท่านั้นเอง

ตัวอย่างที่ 2 : กรณีที่นายโจศักดิ์ต้องการซื้อบ้าน 3 ล้านบาท จะต้องผ่อนเดือนละ 21,000 บาท ซึ่งมากกว่าความสามารถในการผ่อนที่ธนคารคำนวณ นายโจศักดิ์จึงไม่สามารถกู้ซื้อบ้านคนเดียวได้ เมื่อชวนนางสาวขวัญใจมากู้ร่วม ก็ไม่สามารถแบ่งสัดส่วนการผ่อนเป็นคนละครึ่งได้เหมือนเดิม เพราะนางสาวขวัญใจสามารถผ่อนได้ 10,000 บาทเท่านั้น จึงอาจต้องแบ่งสัดส่วนในการผ่อน เป็น 60 : 40% หรือ 70 : 30%

2.ได้วงเงินในการกู้เพิ่มขึ้น

เมื่อคิดรายได้รวมของผู้กู้หลักและผู้ร่วมด้วยกัน นอกจากจะมีโอกาสกู้ผ่านสูงขึ้นแล้ว ยังสามารถกู้เงินได้มากขึ้นอีกด้วยค่ะ ทำให้เรามีงบไปซื้อบ้านหรือคอนโดที่มีขนาดใหญ่ขึ้นได้ บางครั้งอาจถึงขั้นเปลี่ยนระดับของบ้านไปได้เลยนะ

ตัวอย่าง : นายโจศักดิ์รายได้ 30,000 บาท สามารถผ่อนได้สูงสุด 15,000 บาทต่อเดือน หากนายโจศักดิ์กู้คนเดียว จะได้วงเงินประมาณ 2,100,000 บาท แต่ถ้ากู้ร่วมนายโจศักดิ์และนางสาวขวัญใจมีรายได้รวมกัน 50,000 บาท มีความสามารถในการผ่อนต่อเดือน 25,000 บาท ทำให้เราสามารถกู้เงินได้ 3,500,000 บาท ซึ่งสูงกว่านายโจศักดิ์ที่มีรายได้ 30,000 บาท กู้คนเดียว

3.ได้ระยะเวลาในการกู้เพิ่มขึ้น

นอกจากจะยืดระยะเวลาผ่อนแล้วยังทำให้ยอดผ่อนต่อเดือนน้อยลงอีกด้วยนะ ยิ่งเรามีอายุมากขึ้น ธนาคารจะให้ระยะเวลาในการผ่อนน้อยลง เพราะเสี่ยงต่อการเจ็บปวดและเสียชีวิตไปตามวัย ปัญหาที่ตามมาคือต้องแบกภาระการผ่อนต่อเดือนสูง แต่หากเรามีผู้กู้ร่วมที่อายุน้อย เช่น แม่กู้ร่วมกับลูก ก็สามารถยืดระยะเวลาในการผ่อนได้เป็นสิบๆปีเลยนะ


เรากู้ร่วมกับใครได้บ้าง

การกู้ร่วมนั้นสามารถทำได้ 2 คนแต่ไม่เกิน 3 คน โดยแบ่งเป็นผู้กู้หลัก 1 คน และผู้กู้ร่วม 1-2 คน และต้องมีรายได้ต่อเดือนไม่ต่ำกว่าระดับที่กำหนด ส่วนใหญ่ต้องไม่ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถกู้ร่วมกับใครก็ได้นะ ต้องเป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดและสามารถพิสูจน์ความสัมพันธ์ได้เท่านั้น เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับธนาคารว่าผู้กู้ร่วมจะรับผิดชอบภาระนี้ไปในระยะยาว 10-30 ปีได้ตลอดรอดฝั่ง โดยธนาคารส่วนใหญ่จะพิจารณาผู้กู้ร่วมเป็นกลุ่ม ดังนี้

1. คนที่มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด

บุคคลที่มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด ใช้นามสกุลเดียวกัน เช่น พ่อแม่-ลูก , พี่-น้อง หรือแม้แต่พี่น้องที่ใช้คนละนามสกุล ก็สามารถกู้ร่วมกันได้ เพียงแต่ต้องแสดงทะเบียนบ้านหรือสูติบัตรที่ระบุว่ามีพ่อแม่คนเดียวกัน

2. คู่สามี-ภรรยา

หากจดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย สามารถใช้ทะเบียนสมรสเป็นหลักฐานได้ แต่ถ้าไม่ได้จดทะเบียนสมรส ใช้หลักฐานอื่นๆ เช่น รูปถ่ายหรือการ์ดแต่งงาน หากมีลูกด้วยกันก็สามารถใช้หนังสือรับรองบุตรได้

3. คู่รัก LGBTQ+

เดิมทีธนาคารจะมองว่าคนกลุ่มนี้เหมือนเพื่อนที่จะมากู้ร่วมกัน จึงทำให้ธนาคารอนุมัติยาก แต่หลังจากกฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่านแล้ว เกณฑ์ในการกู้ร่วมก็จะเหมือนคู่รักชายหญิงทั่วไป จึงทำให้มีโอกาสกู้ผ่านสูงขึ้น หากจดทะเบียนสมรสก็ใช้ใบทะเบียนสมรสเป็นหลักฐานได้เลย แต่หากไม่จดทะเบียนก็ใช้เอกสารอื่นๆ เช่น บัญชีเงินฝากที่เปิดร่วมกัน , เอกสารประกอบธุรกิจร่วมกัน , การ์ดแต่งงานหรือทะเบียนบ้านที่มีชื่อร่วมกัน


เรื่องที่ควรรู้ก่อนกู้ร่วม

หลังจากที่เรารู้แล้วว่าการกู้ร่วมนั้นดีอย่างไร แล้วสามารถกู้ร่วมกับใครได้บ้าง หลายคนก็เล็งเห็นประโยชน์ของการกู้ร่วมแล้วใช่มั้ยคะ … แต่ก่อนที่เราจะตกลงปลงใจกู้ร่วมกับใครสักคน ก็ต้องศึกษารายละเอียดให้ดีก่อน เพราะใช่ว่าการกู้ร่วมจะมีแต่ด้านดี จริงอยู่ว่าเรามีสิทธิ์ร่วมกันในทรัพย์สินที่เรากู้เงินไปซื้อ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราเป็นผู้รับผิดชอบหนี้ก้อนนั้นกันคนละครึ่งนะ เพราะหากเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ใครคนใดคนหนึ่งไม่สามารถจ่ายได้ ผู้กู้ที่เหลือต้องเป็นคนรับผิดชอบหนี้ก้อนนั้นทั้งหมด

ตัวอย่าง : นายรุจน์กู้ร่วมซื้อบ้านกับนางโฉมงาม 2 ล้านบาท โดยแบ่งกันรับผิดชอบคนละ 1 ล้านบาท อยู่มาวันหนึ่งนางโฉมงามหายตัวไปไม่ชำระหนี้ตามตกลงกัน นายรุจน์จะต้องรับหนี้ไปทั้งหมด 2 ล้านเลยนะ ไม่ใช่แค่ 1 ล้านตามเดิม

แล้วไม่ใช่ว่าการกู้ร่วม 2 คนจะผ่านง่ายเสมอไปนะ เพราะก็ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้การกู้ร่วมเป็นไปได้ยาก ดังนั้นก่อนกู้ร่วมก็มีสิ่งที่เราควรรู้ ดังนี้

  • รายได้ที่ใช้พิจารณาในการกู้ร่วม ต้องเป็นรายได้ที่มั่นคง

ในกรณีที่เราเป็นมนุษย์เงินเดือน เวลาเรากู้ร่วมมาซื้อบ้านหรือคอนโด ธนาคารส่วนใหญ่จะพิจารณาจากฐานเงินเดือน หรือรายได้ประจำของเราเป็นหลัก จะไม่นับรายได้ต่างๆที่เพิ่มเข้ามาไม่สม่ำเสมอ เช่น ค่าคอมมิชชั่น , ค่าเบี้ยเลี้ยงต่างๆ เพราะถือว่าเป็นรายได้ที่ไม่แน่นอน และได้เป็นครั้งๆ ไม่ใช่รายได้ที่ได้ประจำทุกเดือน เช่น นายวีทำงานเป็นเซลล์ขายรถมีฐานเงินเดือนอยู่ที่ 20,000 บาท และได้ค่าคอมมิชชั่นในการขายรถ 0.5% ของราคารถ หากขายรถได้ 1 ล้านบาทได้ 2 คัน ก็จะได้เงินเพิ่มอีก 10,000 บาท ทำให้มีรายได้ 30,000 บาท หลายๆคนมักจะคิดว่ารายได้ก้อนนี้จะถูกพิจารณาในการกู้ร่วม แต่ความจริงแล้วธนาคารมักจะพิจารณาเฉพาะรายได้ 20,000 บาท เพราะค่าคอมมิชชั่นแม้จะสูง แต่ก็ไม่มั่นใจว่านายวีจะได้รายได้ก้อนนี้ทุกเดือน ธนาคารส่วนใหญ่จึงไม่นับรายได้ที่ไม่แน่นอนมาด้วย หรือหากนำมาพิจารณาก็จะนำมาคิดในสัดส่วนที่น้อยค่ะ ยิ่งผู้กู้ร่วมที่มีฐานเงินเดือนไม่ถึง 15,000 บาท ก็จะทำให้กู้ร่วมได้ยากขึ้น

ในยุคปัจจุบันที่เศรษฐกิจไม่ดีนัก บางธนาคารอาจดูไปถึงความมั่นคงของบริษัทที่เราทำด้วย ต่อให้เรามีรายได้สูงพอที่จะกู้ผ่าน แต่ถ้าธนาคารตรวจดูแล้วบริษัทมีความไม่มั่นคงอยู่ เช่น ขาดทุนมาหลายปี , ไม่ส่งงบดุลบริษัท ก็อาจทำให้กู้ไม่ผ่านได้ หลักการคือธนาคารพิจารณาความมั่นคงทางรายได้ หากผู้จ้างงานเริ่มไม่มั่นคง ก็อาจส่งผลต่อลูกจ้างเช่นกันนะ

หากทำอาชีพอิสระหรือฟรีแลนซ์มีรายได้ไม่แน่นอน ธนาคารจะมีการพิจารณาที่ต่างออกไปซึ่งจะกู้ผ่านได้ยากกว่า และต้องยื่นเอกสารต่างๆอย่างละเอียด เพื่อแสดงความมั่นคงด้านการเงินว่ามีศักยภาพในการชำระหนี้จนหมด
– สัญญาการจ้างงาน หลักฐานในการชำระเงินค่าจ้าง
– หลักฐานรายได้ หรือทรัพย์สินอื่นๆ เช่น หุ้น
– Statement บัญชีเงินฝากย้อนหลัง 6-12 เดือน

  • ผู้ร่วมกู้มีภาระเดิมเยอะ อาจกู้ผ่านยาก

ต่อให้ผู้กู้ร่วมของเราจะมีรายได้สูงก็ตาม แต่หากเขามีภาระหนี้เดิมเยอะ ธนาคารก็จะพิจารณาความสามารถในการแบกรับหนี้สินทั้งหมดได้ประมาณ 40-50% ของเงินเดือน เช่น นายต้นข้าวมีเงินเดือน 40,000 บาท มีภาระต้องผ่อนรถเดือนละ 12,000 บาท ธนาคารจึงจะคิดความสามารถในการผ่อนเป็น 40,000 x 0.5 (50%) -12,000 = 8,000 บาท / เดือน ทำให้วงเงินการกู้ไม่เยอะนะ บางรายที่ผู้กู้ร่วมมีภาระร่วมเกิน 50% ของเงินเดือน เช่น มีเงินเดือน 40,000 บาท ผ่อนรถ 12,000 บาท ผ่อนคอนโด 10,000 บาท แล้วต้องการกู้ซื้อบ้านร่วมกับแฟนอีก ก็จะทำได้ยากแล้วค่ะ เพราะภาระหนี้เกิน 50% ของรายได้

  • ผู้ร่วมกู้ติดมีประวัติการชำระเงินไม่ดี เครดิตเสีย

การที่ผู้กู้มีประวัติการชำระหนี้ไม่ดี สร้างความไม่มั่นใจให้กับธนาคารจึงอาจส่งผลให้กู้ผ่านยาก แล้วยังสร้างความระแวงให้กับผู้กู้ร่วมที่เหลืออีกด้วยนะ

  • ควรซื้อประกัน MRTA 

ประกัน MRTA คือประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินกู้ ที่ทำควบคู่กับการซื้อบ้านหรือคอนโด ประกันนี้จะแบ่งเบาหรือช่วยรับผิดชอบการชำระหนี้บ้านส่วนที่เหลือ เมื่อผู้ทำประกันเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรจนไม่อาจรับผิดชอบหนี้คงเหลือได้
ตัวอย่าง :  นายภูผาและนางธิดากู้ซื้อบ้านร่วมกัน อยู่มาวันหนึ่งนายภูผาเสียชีวิต แต่ทั้ง 2 คนไม่ได้ทำประกัน MRTA  นางธิดาจะต้องรับผิดชอบหนี้ทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียวเลยนะ แต่ในกรณีที่ทั้งคู่ทำประกันไว้ ทางประกันจะช่วยรับผิดชอบภาระหนี้ในส่วนของผู้เสียชีวิต ทำให้นางธิดาไม่ต้องแบกภาระหนี้สินในส่วนของนายภูผาค่ะ

  • การกู้ร่วมวันนี้ส่งผลต่อการกู้ร่วมในอนาคต

หากเรามีชื่อกู้ร่วมซื้ออะไรสักอย่างในวันนี้แล้ว ก็หมายความว่าธนาคารจะพิจารณาศักยภาพในการผ่อนสำหรับการกู้ร่วมครั้งใหม่น้อยลง หรือในกรณีที่แย่ที่สุดคือ สมมติพี่ชายขอให้น้องสาวมากู้ร่วมซื้อบ้านด้วย โดยที่พี่ชายจะเป็นคนผ่อนบ้านทั้งหมด ขอแค่ชื่อของน้องสาวเข้ามากู้ร่วมเท่านั้น ต่อมาพี่ชายไม่จ่ายค่าผ่อนบ้านจนเสียเครดิต น้องสาวที่มีชื่อร่วมกู้อยู่ก็จะเสียเครดิตไปด้วย ทำให้น้องสาวไปกู้ซื้อบ้านของตัวเองในอนาคตยากขึ้น


กู้ร่วมมาด้วยดี … จนกระทั่งเลิกรากัน

มาถึงกรณีที่คนสงสัยกันมากที่สุด หากเป็นแฟนกัน รักกันมาดีๆจนตัดสินใจกู้ร่วมซื้อบ้าน แล้ววันหนึ่งเลิกรากันจะยกเลิกสัญญากู้ร่วมได้มั้ย เราบอกได้เลยว่ายากมากนะ เพราะการยกเลิกสัญญากู้ร่วมไม่สามารถทำได้ทันที ดังนั้นหากเลิกรากันแล้วสิ่งที่ต้องจัดการมากกว่าความเสียใจ ก็คงเป็นหนี้ที่มีร่วมกันนี้แหละ โดยสามารถทำได้ 3 วิธี

  • ชำระหนี้ให้หมด 

วิธีนี้เหมาะกับคนที่มีกำลังทรัพย์ หรือพ่อแม่พร้อมซัพพอร์ตมากๆเลยแหละ เพราะถือว่าต้องมีเงินก้อนมาโป๊ะหนี้ส่วนที่ยังค้างคาอยู่ แล้วค่อยเอาชื่อ’แฟนเก่า’ออกจากการเป็นเจ้าของบ้าน พร้อมชดใช้เงินที่เขาเคยผ่อนมาร่วมกัน แต่อย่างหลังนี้แล้วแต่ตกลงว่าาจะจ่ายกันยังไงนะ

  • ขายทรัพย์สินแล้วแบ่งเงินกัน

แม้ว่าเราจะยังผ่อนบ้านไม่หมด ก็สามารถขายบ้านได้เช่นเดียวกันนะ แต่วิธีการซื้อขายอาจแตกต่างเล็กน้อย
-อย่างแรกคือเราต้องหาผู้ซื้อให้ได้ก่อน หลังจากนั้นให้ผู้ซื้อทำเรื่องกู้ซื้อบ้านตามธนาคารที่สนใจให้ผ่าน
-ผู้ขายจะต้องไปขอเอกสารจากธนาคารของเรา ให้ทราบว่า ณ วันที่ขายจะเหลือหนี้อยู่เท่าไหร่ เพื่อจ่ายคืนให้ธนาคาร
-ผู้ซื้อและผู้ขายไปเจอกันที่กรมที่ดิน เพื่อทำการซื้อขายและตัดหนี้ที่เหลือโดยเงินที่ได้จากการขายบ้านจะถูกโอนไปที่ธนาคารของผู้ขายโดยตรง เพื่อชำระหนี้ทั้งหมด จากนั้นส่วนต่างที่เหลือจากการชำระหนี้จึงจะถูกโอนมาให้ผู้ขายและผู้กู้ร่วม

  • รีไฟแนนซ์ใช้ชื่อคนเดียวหรือหาผู้กู้ร่วมคนใหม่

กรณีคนที่ไม่ได้มีเงินก้อนและยังขายบ้านไม่ได้ หากต้องการเอาชื่อออกจากการกู้ร่วม ทำได้โดยให้ผู้ที่ยังอยากเก็บบ้านหรือคอนโดไว้ไปรีไฟแนนซ์บ้าน เราขอแยกเป็น 2 กรณี

กรณี 1 : ผู้กู้มีรายได้สูง เครดิตดีอยู่แล้ว และระยะเวลาที่ผ่านมามีการชำระหนี้ไปส่วนหนึ่งแล้ว ธนาคารก็จะให้รีไฟแนนซ์ได้ แต่จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมแน่นอน เช่น ค่าโอนกรรมสิทธิ์สัดส่วนตามที่ผู้กู้ร่วมถืออยู่ , ภาษีเงินได้จากการขาย , ภาษีธุรกิจเฉพาะ รวมๆแล้วก็ถือเป็นเงินที่เยอะพอสมควรเลยนะ เพราะเปรียบเสมอการขายสิทธิ์ที่ผู้กู้ร่วมถืออยู่จาก 2 คน ให้คนๆเดียว

กรณี 2 : ผู้กู้มีรายได้ไม่เพียงพอ ต่อการจะกู้ต่อคนเดียว เขาก็ต้องหาผู้ร่มกู้คนใหม่ มาทดแทน ซึ่งต้องมีคุณสมบัติผ่านตามเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด

เพื่อนๆพอจะเห็นถึงปัญหาการกู้ร่วมแล้วใช่มั้ย ว่าการจัดการปัญหาที่เกิดยากลำบากมาก หรือการเลือกคนมากู้ร่วมกับเราก็ต้องเลือกดีๆ ไว้ใจได้ และมั่นใจสูงว่าจะอยู่ด้วยกันไปตลอด ไม่อย่างนั้นการกู้ร่วมจะมีปัญหาตามมาแน่นอน ดังนั้นถ้าเรามีศักยภาพเพียงพอ แนะนำให้กู้คนเดียวไปเลย หรือใครที่ยังมีรายได้ไม่ถึง แนะนำว่าอย่าเพิ่งกู้ร่วมเลยนะ


ก่อนที่เราจะไปกู้ร่วมกับใคร ก็ควรเช็คเครดิตและความมั่นคงทางการเงินของเขาให้ดีก่อนนะคะ โดยเราควรเช็คคร่าวๆ ดังนี้

  • รายได้ที่มั่นคงของผู้ร่วมกู้
  • ผู้ร่วมกู้มีภาระเดิมมาก-น้อยแค่ไหน
  • ผู้ร่วมกู้ร่วมติดเครดิตบูโรหรือไม่

หลังจากนั้นให้เราคุยกันตรงๆ เรื่องที่ควรตกลงกันให้แน่นอนก่อนกู้ร่วม

  • จะทำประกัน MRTA กันมั้ย เผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันกับใคร อีกฝ่ายจะได้ไม่เดือดร้อน
  • หากกู้ร่วมซื้อบ้านหรือคอนโดด้วยกันครั้งนี้ เป็นความรับผิดชอบของทั้งฝ่าย อาจทำให้การกู้ครั้งถัดไปของแต่ละคนยากขึ้น ดังนั้นผู้กู้ร่วมไม่ควรมีแพลนจะกู้ซื้ออะไรอีกในระยะอันใกล้

หากคู่ที่เป็นแฟนกันกู้ร่วมแล้วเกิดเลิกรากันไปก็สามารถแก้ไขสิ่งที่เกิดขึ้นได้ 3 วิธี

  • ชำระหนี้บ้านให้หมด
  • ขายบ้านแล้วนำเงินมาแบ่งกัน
  • รีไฟแนนซ์แล้วเอาชื่อแฟนเก่าออก หรือหาผู้ร่วมกู้คนใหม่


เป็นอย่างไรบ้างคะกับบทความกู้ร่วมผิดชีวิตเปลี่ยน ปัญหากู้ร่วมที่หลายคนไม่รู้ เราหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคน ครั้งหน้า Think of living จะมีบทความอะไรมาฝากกันอีก หรือใครอยากทราบ/มีปัญหาเรื่องอะไร ก็ลอง comment และติดตามกันได้นะค่ะ